อรุณสวัสดิ์ยามเช้าครับเพื่อนๆ \^0^/
มีใครติดกาแฟแบบแอดบ้างครับ? …วันนี้ แอดจะมาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของการดื่มกาแฟให้อ่านกันครับ
โดยปกติแล้ว ใน24 ชม. แอดจะต้องมีคาเฟอีนเข้ามาอยู่ในร่างกายและจิตใจอย่างน้อย 3 แก้ว เป็นอย่างต่ำครับ
แก้วเช้า….หลังจากอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นเรียบร้อย…แต่ สมองยังมีจิตละเอียดเป็นของตัวเอง…โน่นนนน.. จิตละเอียดของแอดยังมุดอยู่ในผ้าห่มบนที่นอนครับ….~0~ แอดเลยต้องบังคับพาร่างหยาบของตัวเองมา…หยิบๆ…ตักๆ…บดๆ…กดๆ…ชงๆ…ก็ได้กาแฟดำที่หอมมมมม เข้ม มา 1 แก้วน้อยๆ แหมมมมม … อยากให้หน้าจอสามารถส่งผ่านกลิ่นหอมๆของกาแฟได้จิมๆ… เคยตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้งว่า เอ๊ะ..ตกลงว่านี่ตัวเองติดกลิ่นกาแฟ หรือ คาเฟอีนกันแน่ (แอดจะชอบเอากากกาแฟมาใส่ขวดเปิดฝาให้กลิ่นของกาแฟน้านนนนนหอมไปทั้งห้อง)
แก้วหลังอาหาร กลางวัน ทานข้าวเสร็จ อ่ะ ก็ต้องมีอะไรมาช่วยล้างปาก+ช่วยย่อย แวะร้านกาแฟ สั่งอีก 1แก้ว
แก้วช่วงบ่ายๆ… แบตในตัวเริ่มอ่อน… อ่ะ เดินไปตักกาแฟสะเร็จรูป กดน้ำร้อน …
แก้วช่วงบ่ายค่อนเย็น…ในกรณีที่นัดคุยงานกับลูกค้าหรือออยากเปลี่ยนที่นั่งทำงาน
แต่ในช่วงนี้. เสียงคุณหมอลอยมาให้นึกถึงบ่อยๆว่า…ควรลด คาเฟอีนลงบ้างนะครับ จะเป็นผลดีกับสุขภาพในอนาคตครับ แถมจะทำให้หน้าดูอ่อนกว่าวัยนะครับ =0=! (อืมมม…. เราหน้าแก่เหรอเนี่ย!!!!) ด้วยเหตุผลข้อ 2 ของหมอเลยทำให้แอดต้องรีบเปลี่ยนตัวเองด่วนๆๆๆ… เอาเลย วันรุ่งขึ้น ไม่กินกาแฟเลย…(มีแรงถีบแรงดันว่า ไม่แก่ไม่แก่…..) ผลปรากฏว่า… 10โมงเช้า แอดปวดหัวมากแทบระเบิด… อ่ะ ยกที่1 (แก๊งงงง…). แพ้ไป 0-1 เป็นแบบนี้จน 0-5 ปาเข้าไป 5 วันที่ปวดหัวแล้วก็ต้องมาจบที่ ต้องหากาแฟกิน…( นี่เราจะยอมหน้า แก่ ใช่ม้ายยยยย)
จนในที่สุด… แอดก็พบทางสว่างจากการ shopping ใน supermarket แก้เครียดเพราะคิดงานไม่ออก….. ในวันนั้นเองตอนที่แอดกำลังก้มๆเงยๆ หาของอยู่นั้น. สายตาก็เหลือบไปเห็น… เจ้าขวดๆนี้เข้า
ภาพในหัวมีแสงสว่างวาบบบบบ….คิดเลยว่า พรุ่งนี้ เราจะไม่แก่อีกต่อไป!!! …. \^0^/
เช้ารุ่งขึ้น…ปฏิบัติการไม่เพิ่มริ้วรอยบนใบหน้าก็เริ่มขึ้น (ผ่ามมมมมมม!!)…เปิดขวด ยังไม่ทันยกขวดขึ้นมาหรือก้มหน้าลงไป…โดนกลิ่นกาแฟเตะเลยขะรับ.. หืมมมม..โหหหหห….กลิ่นกาแฟหอมมากมายครับ กลิ่นนี่เข้มข้นมากก แถมแอดยังรูสึกได้ถึงกลิ่นคล้ายๆcocoa ที่มีปนอยู่นิดๆ… Omg! นี่กลิ่นกาแฟ ประเภทนี้ มันได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยยยย!!! ดีใจยิ่งกว่ารู้ว่าสิวยุบ จัดการเทน้ำร้อนใส่ คนๆๆๆ… หอมกว่าเดิมอีกกก..มีกลิ่นเปรี้ยวออกมานิดๆด้วย…แหมม หลายมิติจิมๆเลยนะเทอว์…ซู้ดดดดด… สัมผัสแรกที่ได้…หอม….ขม….เข้มข้นมาก…ติดเปรี้ยวที่ปลายลิ้นนิสสสๆ…ไม่น่าเชื่อว่ารสชาติจะเข้มข้นได้ขนาดนี้เลย แต่พอทิ้งให้อุ่นลงอีกนิด.. ความเปรี้ยวจะเริ่มเพิ่มขึ้นมาหน่อยๆ… จะได้รสชาติที่ต่างออกไปครับ แต่ความขมและหอมยังเหมือนเดิม สำหรับเพื่อนๆคนไหนชอบกาแฟรสชาติออกเปรี้ยวนิดๆแนะนำให้ทิ้งให้อุ่นก่อนดื่มครับ จากที่ได้ชิมนี้ถือว่าเปิดโลกใหม่ของการดื่มกาแฟของแอดเลยทีเดียวครับ
ซึ่งก่อนหน้านี้ แอดมีอคติมากๆ เพราะคิดว่า กาแฟ DECAF ??!!?? ไม่…ไม่…ม่ายยยยย เทอว์จะมาเรียก ตัวเองว่าเป็น กาแฟ ไม่ด้ายยยย !! กาแฟ => คาเฟอีน .. Decaf => ไม่มีคาเฟอีน… เพราะฉะนั้น เทอไม่ใช่กาแฟ… ด้วยความอยากเถียงคนผลิตในใจให้ได้ ว่า Decaf ไม่ใช่กาแฟ… แอดเลยไปหาอากู๋
อ่อออออออ….กาแฟ Decaf น้านนนน… ไม่ใช่กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนอยู่เลย (ผิดกับความเข้าใจของแอดมาโดยตล้อดดดด) แต่เหลือคาเฟอีนแค่ นุบนิ้บๆ 3% บางๆเท่านั้น ในกาแฟปกติทั่วไปกาแฟ 1 แก้ว จะมีคาเฟอีน 70-140 mg. ส่วนกาแฟดีแคฟ จะมีแค่ 0-7mg. แต่สารอาหารที่มีในเมล็ดกาแฟยังอยู่ครบถ้วน!
เลยอยากรู้ต่อว่าเค้าทำกันยังไง…แอดเลยสรุปมาให้ประมาณนี้นะครับ
วิธีสกัดคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟ ในปัจจุบันน้านนนนน มีทั้งหมด 4 วิธี
วิธีแรก แยกคาเฟอีนโดยใช้ตัวทำละลาย Methylene chloride (เมทิลีนคลอไรด์) ซึ่งก่อนจะมาถึงตัวนี้ เบนซิน ก็เคยถูกนำมาเป็นตัวทำละลายตัวแรก o0o!!
วิธีที 2 Ethyl acetate decaffeination. มีแต่ชื่อไรเนี่ยยย (แอดมาจากห้องศิลป์บันเทิงซะด้วย..ชื่อทางนี้ไกลตัวเหลือเกินนนน )
ซึ่ง2วิธีแรกนี้จะเป็นการนำเมล็ดกาแฟไปล้างๆๆๆๆในตัวทำละลาย หรือผ่านแรงดันจากน้ำจนกว่าคาเฟอีนจะน้อยใจทนไม่ได้และบอกเลิกกับเม็ดกาแฟในที่สึด
วิธีที่ 3 Super Critical Carbon Dioxide Method (เป็นวิธีที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมขนากใหญ่)
คือการใช้ คาร์บอนไดออกไซด์เหลวในแรงดัน 1,000 psi (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) ให้บังคับข่มขู่เมล็ดกาแฟเปิดบ้านให้คาร์บอนไดออกไซด์เหลวน้านนนนแทรกซึมเข้าไปแล้ว เตะเอาผู้ไม่พึงประสงค์ชื่อคาเฟอีนออกมา..ทำให้เมล็ดกาแฟติดชื่อใหม่ว่า Decaf
และวิธี สุดท้าย ครือออ Swiss Water Process (SWP) เป็นการสวมร่างเข้าทรงของเมล็ดกาแฟ โดยเมล็ดกาแฟดิบจะถูกเอาไปแช่ในน้ำให้ คาเฟอีนและสารเคมีอื่นๆที่ทำให้มีรสชาติกาแฟ ละลายยยย..ออกมาอย่างยินยอมพร้อมใจ จะทำให้น้ำที่ได้มีคาเฟอีนและสารละลายจากกาแฟ..แอดขออนุญาตใช้ตัวย่อนะขะรับ GCE (green coffee extract) ออกมา จากน้านนนน้ำจะถูกกรองโดยคาร์บอนฟิลเตอร์แยกเอาคาเฟอีนออกเหลือแต่จิตวิญญาณที่สำคัญ…ส่วนกายหยาบนั้น (เมล็ดที่โดนแช่จนหมดประโยชน์)เราก็จะทิ้งไป ขั้นต่อมาคือการสวมร่างใหม่จะเอาเมล็ดกาแฟเขียว (ร่างที่ยังหนุ่มแน่น) มาแช่ใน GCE แช่ไปให้ชุ่มฉ่ำ พร้อมเปลี่ยนร่างใหม่เป็น ซุปเปอร์เซย่า ที่มีความเป็นกาแฟเต็มปริ่มแต่เหลือคาเฟอีนอยู่แค่ประมาณ 3%
ทีนี้ก็มาถึงวิธีเปลี่ยนกาแฟที่ดื่มในทุกวัน…. เพื่อนๆคงจะคิดว่าแอดเปลี่ยนมาดื่มกาแฟ Decaf วันรุ่งขึ้นได้เลยใช่ไหมครับ….ครับ….ไม่ใช่อย่างแรงครับ -^-! ปวดหัวหนักเหมือนเดิมครับตอนที่เปลี่ยนมาเป็น กาแฟDecaf อย่างเดียว เหมือนกับตอนที่หักดิบไม่ดื่มกาแฟเลยครับ
แต่แอดมีวิธีส่วนตัวที่ทำให้ไม่ปวดหัวมาแชร์ครับ นั้่น…ก็…คืออออ
แอดจะค่อยๆผสม กาแฟ Decaf ลงไปในกาแฟดำของแอดครับ เริ่มจากอัตราส่วน 4:1 กาแฟธรรมดา 4 ส่วน Decaf 1 ส่วน ผสมแบบนี้ 1อาทิตย์ครับ แล้วค่อยเพิ่มอัตราส่วนเป็น 3:2 อีก 1 อาทิตย์นี้ เพิ่มอีก 2:3 และก็ 1:4
จนกระทั่งชงด้วยกาแฟ Decaf อย่างเดียวครับ แอดต้องปรับให้ร่างกายค่อยๆ ลดคาเฟอีนลงทีละนิด ทีละนิดครับ แต่ก็ยังคงต้องดื่มวันละหลายๆแก้วเป็นปกติครับเพราะแอดติดกลิ่นกาแฟมากกว่ารสชาติครับ
ซู้ดดดด…อ่าาาาา…ชื่นนนนจายยยยยย เติมกาแฟเข้าร่างแล้วเหมือนจิตละเอียดได้ชาร์จแบตจนเต็ม..ลุยงานต่อได้แล้วขะรับ..ในบทความหน้าแอดมีเรื่องอะไรมาโม้ให้อ่านอีก…รอติดตามได้เลยนะคร้าบบบบ
ขอบคุณครับ
By N.K
อ้างอิง